Komodo : Kelimutu ทำไมถึงเลือกที่นี่หนะหรอ..
เอาง่ายๆ เลยนะ เจอตั๋วโปร และก็ยังไม่เคยไป
ก็แค่อยากไป ก็เท่านั้น..

komodo-1
การเดินทางครั้งนี้ครบทุกรสชาติชีวิตเลยล่ะ ได้สัมผัสกับธรรมชาติทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็น ทุ่งนา ป่า เขา น้ำตก ทะเล หรือแม้กระทั่งโลกใต้น้ำ ตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ทริปนี้


Komodo Island

ชื่อนี้อาจพอคุ้นหูกันบ้าง เพราะที่นี่คือบ้านของมังกรโคโมโด กิ่งก่ายักษ์นักล่าเจ้าถิ่นสุดโหดของดินแดนแห่งนี้ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากเจ้ามังกรแล้ว ที่นี่ยังมีโลกใต้น้ำที่สวยงามมากๆ ด้วยนะ อะแฮ่!! สวรรค์ของนักดำน้ำเลย

Komodo เป็นอุทยานแห่งชาติ (Komodo Nation Park) ได้รับรองจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็มรดกโลก และเมื่อปี 2011 ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลกด้วย เป็นไง Wowww มั๊ยล่ะ สิ่งการันตีเยอะขนาดนี้ เราไปเจออะไรมาบ้าง อ่านไปเรื่อยๆ นะ เล่าเลยเดี๋ยวผิดคิว


Kelimutu

ชื่อของภูเขาไฟ เป็นที่ตั้งของทะเลสาบสามสี เป็นอุทยานแห่งชาติด้วยนะ (Kelimutu National Park) ตั้งอยู่บนเกาะฟลอเรส ดินแดนโพล้นทะเลโน่นน เราว่าที่นี่มันไกลมากกก ไม่เคยรู้จักที่นี่มาก่อนเลย ให้ตายเถอะโรบิ้น

ที่ตัดสินใจไปกันเป็นเพราะได้เห็นภาพจากใน net ที่พี่หัวหน้าแก๊งค์เอามาให้ดู เลยลองหาข้อมูลวิธีการเดินทาง คำนวณค่าใช้จ่าย แล้วมันก็เพิ่มขึ้นไม่เท่าไหร่

โอเค!! งั้นเราไป Kelimutu กันโลดดดด (คือตอนแรกทริปนี้จะไปแค่เกาะกิลิ อยู่ใกล้ๆ บาหลี นั่นแหละ) ช่วงเวลา Peak ของ Kelimutu ก็คือช่วงเดือนกรกฎาคม ช่วงที่เราไปกัน ใช้เวลาเตรียมตัวกันไม่นาน วางแพลนไว้คร่าวๆ ว่าจะไปไหนบ้าง จากที่นี่จะไปที่นั่นยังไง เมืองนี้ต้องอยู่กี่วัน ข้อมูลภาษาไทยก็แทบจะไม่มี ทุกอย่างไปลุ้นเอาข้างหน้า และแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็มีผู้ร่วมทางทั้งหมด 4 คน


การเดินทางของเราตลอด 8 วัน (18-25 ก.ค. 59)

1 : Bkk – Bali

2 : Bali – Luan Bajo (By Plane)

3 : Luan Bajo – Komodo Island (By Boat)
Hinking >> Rinca Island , Padar Island (Sleep on Boat)

4 : Komodo Island (By Boat)
Snorkeling >> Pink Beach , Manta Point , Kanawa Island

5 : Luan Bajo
One day trip : Hiking >> Cunca Wulang Waterfall ,Spider Web Ricefield

6 : Luan Bajo – Ende (By Plane)
Ende – Mori Village (By Taxi)

7 : Moni Village – Kelimutu (By Taxi)
Moni Village – Ende (By Taxi)

8 : Ende – Bali (By Plane)
Bali – Bkk


จาก Bali ไป Labuan Bajo

จาก Labuan Bajo ไป Ende

เวลาเดินไว รู้ตัวอีกทีก็ไปยืนง่วงๆ อยู่สุวรรณภูมิซะแล้นนน เช้าเกิ๊นนน เครื่องออกหกโมงเป๊ะ
อ่าวเฮ้ยย!! ขึ้นเครื่องๆ ท่านผู้โดยสารกรุณารัดเข็มขัดให้เรียบร้อย……..


โดนโกง

และแล้วก็ถึงบาหลี

หูยยย!! ตม. บาหลีทำไมคนเยอะจัง กว่าจะผ่าน ตม. กว่าหา Taxi ได้ในราคาที่พอใจ รถก็ติ๊ดติด นึกว่า Taxi พาขับวนมาห้าแยกลาดพร้าว ถึงที่พักก็ปาเข้าไปเย็นมากล่ะ ไม่มีเวลาให้ไปเที่ยวที่ไหนเล้ยย

Kuta Beach คือย่านที่เราเลือกพัก เพราะอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ตกเย็นก็ออกไปกินข้าว เดินเล่นเรียนรู้ Night Life ของย่านนี้กัน

Kelimutu-1
ชายหาด Kuta แห่งบาหลี

*****

จากนั้นก็พาเพื่อนเดินหาที่แลกเงิน คือหล่อนแลก US มาจากสุวรรณภูมิ (แถมประกันเดินทาง) แล้วจะเอา US มาแลกเป็น IDR ที่บาหลี เดินหาแลกแถวๆ Kuta นี่ล่ะ โหหห!! ได้เรทดีมาก ดีมากๆ งั้นแลกหมดเลยแล้วกัน

แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นหนะสิ …กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว เธอโดนโกงเงินไป 2 ล้าน IDR หรือประมาณ 6 พันบาทไทยจ้า

ถ้าใครคิดจะไปแลกเงินที่บาหลี ขอแนะนำว่า..ก่อนออกจากร้าน ต้องนับเงินที่ได้รับมาให้ดี นับให้ถี่ถ้วนน๊า ครบแล้วค่อยเดินออกจากร้าน แต่ทางที่ดีแลกจากไทยไปเลยดีกว่า

บาหลี..นายทำให้เราไม่ไว้ใจ

รู้ว่าโดนโกงก็เช้าวันถัดมา หาข้อมูลในพันทิป คนโดนโกงด้วยวิธีเดียวกันนี่มาตั้งกระทู้ไว้เพียบเลย
คือ ร้านที่รับแลกพวกนี้จะขายของที่ระลึก แล้วก็จะให้เรทสูงมาก จากนั้นจะเอารูเปียร์มานับให้ดูเป็นกองๆ 
นับให้เราดู นับแล้วนับอีก จังหวะที่โกงน่าจะเป็นตอนที่รวบกองเงินทั้งหมดมาให้เรา 
จริงๆ พวกเราก็ไม่น่าชะล้าใจเล้ย

เมืองท่าของการเดินทาง

ดีเลย์จ้า ดีเลย์ จากเดิมเครื่องต้องออก 10 โมงเช้า แต่ออกจริงๆ เกือบบ่าย ไม่ใช่แค่ Fight เรานะ ทุก Fight เลย เดินไปถามได้ความประมาณว่าสนามบินปิด อาจเป็นเพราะสภาพอากาศหรือไรสักอย่างนี่แหละ ก็นั่งรอนอนรอกันไป

สายการบินเอาใจโดยการแจกข้าวกลางวันฟรี ดันอร่อยด้วยนี่สิ อ่ะ!! เราให้อภัย เดี๋ยวๆๆ นี่คือบินนะไม่ใช่รถทัวร์ เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินแบบนี้ ตื่นเต้นชะมัด

komodo-2

ถึงสักที Labuan Bajo นี่ก็ปาเข้าไปใกล้เวลาอาหารเย็นอีกล่ะ สนามบินที่นี่ดูใหม่ทีเดียวเชียว เปรียบได้กับ อาคาร 2 ที่เปิดใหม่ของสนามบินดอนเมือง แต่ความทันสมัยยังมีไม่เท่า ผู้คนก็ไม่พลุกพล่าน

kelimutu-2
สนามบิน Labuan Bajo

นั่นๆๆ เป้ใบโข่งของพวกเราออกมาแล้ว จากนั้นก็จัดการหา Taxi เพื่อไปที่พักที่เราจองไว้ ชื่อว่า Orange Hotel ห้องก็จัดว่าใช้ได้มี wifi มีอาหารเช้า ติดตรงห้องน้ำไม่ค่อยดี กับผ้าห่มเหม็นหืน ฮาาาา

O.K.แยก!! แยกย้ายกันไปอาบน้ำ พักผ่อน

********

ช้าก่อน..เรื่องราวของวันนี้ยังไม่จบ จะรีบไหน จะรีบไปไหน

ป่ะ!! เราออกไปเดินเล่นหาไรกิน แล้วหาทัวร์ไป KOMODO พรุ่งนี้กันดีกว่า อย่างที่บอกตอนแรก แทบไม่ได้จองอะไรล่วงหน้า ไปหาเอาข้างหน้าทั้งนั้น ทัวร์ไป KOMODO ก็เช่นกัน ร้านขายทัวร์ที่นี่มีอยู่มากมาย มีทั้งSnorkeling / Scuba / Live aboard / Hiking / One day trip / 2 D 1 N / 3 D 2 N

แต่ละร้านถึงโปรแกรมเหมือนกัน แต่ราคาไม่เท่ากันสักร้าน เดินเลือกดูดีๆ แล้วกัน ร้านแรกที่เราเข้าไปถาม ราคาแพงที่สุดเลย ร้านถัดมาโปรแกรมเหมือนกันกับร้านแรก แต่ราคาถูกกกว่าเกินครึ่ง ลดฮวบลงมาจนไม่น่าไว้ใจ และร้านที่เราเลือก คือร้านที่ 3 ร้านสุดท้าย

komodo-3
เราเลือกร้านนี้

ราคาอยู่ตรงกลาง ถูกกว่าร้านแรก แต่แพงกว่าร้านที่ 2 งงมั๊ย?? ไม่งงนะ

โปรแกรมที่พวกเราเลือกกันคือ 2 วัน 1 คืน แบบ Private คือจะมีแค่เรา 4 คน พร้อมกัปตันและลูกเรือ ราคาที่ได้ 4 คน อยู่ที่ 3.8 ล้านรูเปียร์ ตกคนละประมาณ 2 พันปลายๆ มีอาหารให้ 4 มื้อ จ่ายมัดจำไว้ แล้วไปกินข้าวเย็นกันดีกว่า หิวมากแล้ววว

เมืองนี้มีแต่อาหารสดใหม่ ปลาตัวโตๆ ปลาหมึกเนื้อหวานๆ แหมะ!! ก็เมืองนี้อยู่ติดทะเลนิ

komodo-kelimutu-1

komodo-kelimutu-2

พรุ่งนี้แล้วสินะ..การเดินทางที่แท้จริงชีวิตบนเรือลำน้อย


ชีวิตบนเรือลำน้อย

คืนนี้เราจะนอนบนเรือกัน เรือลำนี้มีแอร์ มีสองห้องนอนพร้อมห้องอาบน้ำ และห้องน้ำในตัวมีดาดฟ้าเรือให้ขึ้นไปจิบเบียร์ ชมดาว

ดูเรือสิ สุดยอดเลยมั๊ยหละ

komodo-kelimutu-4

ที่ว่ามาทั้งหมดนั่น คือเรือในฝัน คือการมโน เรือที่เราไม่ได้นั่ง
เรือที่จะพาเราไป หน้าตาเป็นแบบนี้

komodo-kelimutu-5

ถ้าเปรียบกับคอนโดก็คงเป็นแบบห้องสตูดิโอ โอเพ่นแอร์ คือ ทำทุกอย่างอยู่ในที่เดียว

กลางวันจะเป็นห้องนั่งเล่นพร้อมห้องกินข้าว กลางคืนจะเปลี่ยนร่างเป็นห้องนอน มีแต่ห้องส้วม (อยู่ท้ายเรือ) ที่อาบน้ำไม่มี คืนนั้นก็เลยไม่อาบน้ำกัน.. น้ำจืดมีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด

ครัวก็มีนะ มีลูกเรือคอยทำกับข้าวให้กิน อาหารมื้อนึงก็มีหลายอย่าง ประมาณนี้ มีของว่างให้ด้วย

komodo-kelimutu-6

แต่ขอโทษเถอะ..อาหารบนเรือ 4 มื้อ กับข้าวเหมือนกันทุกมื้อเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น กลางวัน เย็น เช้า

มื้อแรก “หูยย!! ดีอ่ะ กับข้าวเยอะดีเน๊าะ อร่อยด้วย”
มื้อที่สอง “ทำไมมันเหมือน มื้อแรกเลยว่ะ”
มื้อที่สาม สี่ “เอิ่มม!! กินๆ ไปเหอะ มีให้กินก็ดีแล้ว”

komodo-kelimutu-7

เดินและก็เดิน และก็เดินเดินเดิน นี่คือโปรแกรมของวันแรก

ตื่นเต้นจังเราจะได้ไปตามหามังกรโคโมโดกันแล้ว นั่งเรือมาครึ่งค่อนวัน แรกๆ ก็เพลิดเพลินกับบรรยากาศ ผ่านไปสักชั่วโมงก็เพลินจนหลับ

ชมวิวเพลินๆ ไป

komodo-kelimutu-8

komodo-kelimutu-9

ถึงแล้วจ้า Rinca Island (เกาะรินคา)

Opps!! ระวังจระเข้ นี่คือป้ายแรกที่พวกเราเห็นเมื่อมาถึงเกาะ

komodo-kelimutu-10

เดินตามทางไปเรื่อยๆ

komodo-kelimutu-11

ก็จะพบกับรูปปั้นมังกรโคโมโดใหญ่ยักษ์ คอยต้อนรับเราอยู่

komodo-kelimutu-12

เอิ่มมม..กีกี้

komodo-kelimutu-13

และนี่คือที่ทำการอุทยาน เสียค่าเข้าตรงจุดนี้

komodo-kelimutu-14

อุทยานแห่งชาติทุกที่ต้องเสียค่าเข้า ราคาจำไม่ได้อ่ะ รู้แค่ว่าแพงมากกกก ประมาณ 500-600 ร้อย ต่อคน

ราคานี้รวมคนนำทางแล้วนะ ใช้เวลาเดิน ไป-กลับ จากที่ทำการอุทยานฯ จนถึงจุดชมวิวประมาณชั่วโมงนึง คนนำทางจะคอยถือไม่ง่ามเอาไว้ เผื่อเวลาที่เจ้ามังกรจะเข้ามาทำร้ายเรา จะได้เอาไม้ง่ามค้ำคอมัน

ดูความโหดร้ายของมันสิ อย่าเข้าไปใกล้มันเชียว

komodo-kelimutu-15
cr.internet

มังกรโคโดโมเป็นสัตว์ที่อันตราย น้ำลายมีพิษด้วย หน้าตามันเหมือนตัวเชี่ยบ้านเรา แต่มันไม่เชี่ยนะ มันมีที่นี่ที่เดียว เป็นสัตว์อนุรักษ์ เป็นมรดกโลก ต้องใช้ความพยายามในการมาดูให้เห็นกับตา ถึงกับต้องดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมากันเลยทีเดียว ไม่ใช่สัตว์ที่จะเห็นได้ทั่วไปตามสวนลุมฯ สวนสาธารณะ

เอิ่ม!! เบ้ปากมองบนแพรบ

พอเข้าเขตที่ทำการอุทยานฯ เสียงกีกี้ก็ดังขึ้น..

“นั่นไง!! มังกรโคโดโม ดูมันวิ่งสิ”
“ไหนๆๆๆ เออว่ะ ทำไมมันตัวเล็กจัง”
“Baby Dragon” คนนำทางบอก

…อ๋อ!! นี่มันยังเป็นเด็กน้อยอยู่…

kelimutu-16

“นั่นๆๆ ตัวเบ่อเร่อเลย” กีกี้เปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เออว่ะ ตัวใหญ่มาก น่ากลัวว่ะ”

kelimutu-17

ในขณะที่กีกี้กำลังถ่ายภาพมังกรโคโมโดอยู่เพลินๆ เจ้ามังกรโคโมก็วิ่งไล่กัน ทำเอากีกี้ตกใจแต๋วแตกเลยจ้า

“Are u a real man? Hahaha” คนนำทางแซว
“โอ้ย!! เจอมันวิ่งไล่ตูก็ไม่แมนล่ะ”

กีกี้ยังคงตื่นตระหนก 5555555555

kelimutu-18

“ป่ะ!! เราเดินไปจุดชมวิวกันเถอะ “

Ranger กับไม้ง่ามคู่กาย ระหว่างทางเดินไปจุดชมวิว

kelimutu-19

ที่นี่เดินไม่ยาก เดินไปเรื่อยๆ มีขึ้นเขาบ้าง แต่ไม่ชันเท่าไหร่

kelimutu-20

เดินไปแปปเดียวก็ถึง

kelimutu-21

ถึงแล้วจุดชมวิว สวยดีนะ ลมเย็นดีจัง

kelimutu-22

kelimutu-23

วันนี้พระอาทิตย์ขยันทำงานเกิ๊นน การ Hiking ครั้งนี้เลยเหนื่อยกว่าที่ควรจะเป็น
เดินกลับกันดีกว่า

เสร็จสิ้นแล้วกับภารกิจพิชิตมังกรโคโมโดของเรา

ป่ะ!! ได้เวลาเรือเล็กต้องออกจากฝั่งแล้วแหละ

kelimutu-24

ระหว่างนั่งเรือไปสถานีถัดไป ก็ถ่ายรูปเล่นชมวิวกันไปเรื่อยๆ
มันชิวดีแฮะ

kelimutu-25

เป็นไง เพื่อนเหมียวของเรา หน้าตามีความสุข เธอสวยมากก

komodo-26

Next Station >> Padar Island (เกาะปาร์ด้า)เกาะนี้ไม่มีท่าให้เรือเข้าเทียบ ต้องลงเรือพายลำน้อยต่อเข้าไป

ลำน้อยจริงๆ น้อยแบบนั่งได้แค่สามคน รวมคนพาย เราก็เลยต้องไปกันสองเที่ยว เห็นเรือลำน้อยที่จอดอยู่บนทรายมั๊ย นั่นแหละ ลำนั้นแหละ เล็กเกิ๊นนนนน

kelimutu-27

พอลงเรือไปแล้วทุกคนต้องนั่งตัวตรงแด่วเลยนะ เพราะน้ำมันปริ่มอยู่ขอบเรือ เอียงนิดนึงน้ำก็เข้าเรือแล้ว ตื่นเต้นดีจังและทุกคนก็ถึงเกาะ Padar โดยสวัสดิภาพ

กล้องตัวใหญ่พี่เค้าไม่ได้ถือไปด้วย มันสุ่มเสี่ยงตกน้ำมาก มันเสี่ยงมากจริงๆ ก็เลยถ่ายมันด้วย Note 4 กับ Gopro นี่แหละ วิวสวยใช้อะไรถ่ายก็สวย

ป่ะ!! เริ่มเดินกันเลยแล้วกันน

kelimutu-28

kelimutu-29

เดิน Hiking ที่นี่เหนื่อยเอาการเลย เดี๋ยวขึ้นเขา เดี๋ยวลงเขา แดดก็ร้อน ที่นี่เป็นภูเขาหญ้า มีแต่หญ้าขึ้น ไม้ใหญ่นี่แทบจะไม่มี ไร้ร่มเงากันทีเดียว แต่สวยมากกกกก

kelimutu-30

kelimutu-31

kelimutu-32

ดูสิ..นี่แหละ เราเดินขึ้นเขากันมาเพื่อสิ่งนี้ สวยใช่มั๊ยล่ะ

komodo-33

komodo-34

komodo-35

เดินต่ออีกนิดก็จะถึงจุดสูงสุด สุดทางเดิน เดินต่อไม่ได้แล้ว
ตรงนี้แหละ ถึงแล้ว ลมเย็นดีจัง โอ๊ยยย!!! ฟิน

komodo-36

อย่าไปพูดถึงแดดเลย ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเผชิญ เอ้า!! เป็นไงเป็นกัน ไหม้ก็ไหม้ว่ะ มาถึงนี่แล้ว

เวลาได้ออกทางเรื่องที่เราไม่ห่วงเลยคือหนังหน้า และความดำ พังก็พังไป ดำก็ดำไป กลับมาค่อยว่ากัน
แต่เรื่องที่เราห่วงมากคือ เรื่องฟ้า เรื่องน้ำ ..เอ!! วันนี้ฟ้าจะใสมั๊ย คลื่นจะแรงรึเปล่า คืนนี้จะได้เห็นดาวมั๊ยยน๊าาา..

สวยยยอ่ะะะะะะ หายเหนื่อยเลย

komodo-37

และแล้วทุกคนก็ลงมาถึงจุด start โดยปลอดภัย เป็นคนไทยต้องถ่ายรูปกับป้าย เก็บไว้เป็นที่ระลึก 1 2 3 …สะมายยยยยยยยย

komodo-38

เรือพายลำจิ๋วมาจอดคอยเราอยู่แล้ว พี่เก่งเหมือนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

“เหมียวๆ พี่ไปด้วย น้ำหนักจะได้ Balance”
“มาค่ะ พี่เก่ง”

แล้วทั้งสองก็ถึงเรือสุดหรูของเราโดยปลอดภัย (ตอนขามาหนุ่มๆ เค้าลงเรือพายมาด้วยกัน)
เอาล่ะซิ!!! ที่นี้ก็เหลือฝ้ายกับกี้ สองคนนี้จะเถียงกันตลอเวลา Alert พอๆ กัน บ๋องๆ ต๋องๆ ประมาณนั้น

“กี้!! แกลงไปก่อนเลย แกนั่งข้างหน้านะ เดี๋ยวฉันนั่งข้างหลัง”

และแล้วกีกี้ก็ก้าวลงเรือ พอกีกี้ลงนั่งปั๊บเรือก็คว่ำทันทีเลยจ้า 555555555
มันนั่งอีท่าไหนของมันว่ะ นึกภาพตามนะ คือเรือยังไม่ทันออก จอดเกยตื้นอยู่เฉยๆ
มันก็ทำให้คว่ำ กีกี้นี่เปียกทั้งตัวเปียกทั้งกระเป๋าเลย

ส่วนตัวฝ้ายหนะหรอ “ขำสิค่ะ..รออะไร 5555555555555555″

โอ๊ย!! สงสารก็สงสาร ขำก็ขำ

“กี้ๆ โทรศัพท์เปียกมั๊ย เอาออกมาจากกระเป๋าก่อน”

ถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

“เออๆ ไม่เป็นไร ไม่เปียกๆ”

แล้วจากนั้นทั้งฝ้ายและกี้ก็ถึงเรือโดยสวัสดิภาพ มีพี่เก่งและเหมียวคอยช่วยกันลุ้นอยู่บนเรือสุดหรูของเรา ฝ้ายกับกี้ปลอดภัย แต่ไอโฟนของกี้ จอดับหลับสบายไปแล้ว

“เออๆ ไม่เป็นไร ไม่เปียกๆ” หึหึหึ

ปล.หลังจากที่ไอโฟนกี้หลับพักผ่อนมาตลอดทริป พอกลับถึงเมืองไทยก็ฟื้นคืนชีพใช้งานได้ตามปกติ

ไปชมวิวยามเย็นระหว่างทางกันดีกว่า คลื่นกัดกร่อนเกาะนี้ จนเหมือนมีน้ำตกย่อมๆ อยู่กลางทะเล

komodo-42

แสงรอด ยามเย็น

komodo-43

เรือพาเราแล่นมาที่จุดจอดนอนบริเวณ Komodo Island (เกาะโคโมโด) มีเพื่อนบ้านอยู่หลายลำเหมือนกัน แล้วก็มีเรือขายของชำแล่นมาขายของ นั่นแหละที่แล่นออกไปคือเรือขายของชำ ได้โค้กมา 2 กระป๋อง

komodo-44

เรือเพื่อนบ้าน หรูหราสู้เรือของเราไม่ได้สักนิด

komodo-45

ถ้ามีโอกาสได้ไปอีกสัญญาว่าจะเตรียมเครื่องดื่ม ขนม ไปให้พร้อม เพราะบนเรือมีให้แต่น้ำเปล่า พร้อมถังน้ำแข็ง

ที่นอนคืนนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีทีวีให้ดู ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มันทำให้เราได้อยู่กับธรรชาติจริงๆ ได้ใส่ใจคนรอบกายมากขึ้น เป็นแบบบ้างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

ถามว่าเบื่อมั๊ย?? มันก็ต้องมีบ้างแหละ นี่มันยุค social นี่น่า

และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เรือเอนกประสงค์จะแปลงร่างเป็นเรือนอนแล้วนะ

Sweet Dream

komodo-46

อ่านถึงตรงนี้ ก็หยุดอ่านแปปนึงนะ พักเบรคไว้ก่อน แล้วไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดว่ายน้ำซะ เพราะพจากนี้ไปเราจะพาไปโลกใต้ทะเล (จะได้มี inner)


โลกสีคราม..ฉันรักเธอ

“Manta มา Manta มา” ฝ้ายตะโกนสุดเสียงด้วยความตื่นเต้น ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน คือตื่นขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน ไม่มีไรทำก็นั่งเสพย์บรรยากาศยามเช้า มองนู่นนี่นั่นไปเรื่อย แล้วจู่ๆ Manta ก็กระโดดขึ้นมาทักทาย อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคนนนนนนนนน

komodo-50
ยามเช้า morning

เฝ้าสังเกตุการณ์แมนต้า (ภาพนี้แม่เห็นแม่ว่านะเนี่ย อย่าไปบอกแม่เชียว)

komodo-51

Mask / Snorkel / Fin พร้อมยัง… พร้อมกันแล้วใช่ม๊ายยย โดดตามมาเลย 1 2 3 !!! ตู้มมมมมมมมมมม

komodo-52

Pink Beach คือจุดแรกที่เราจะพาไป เรือจอดรออยู่กลางทะเล ชายหาดสีชมพูแห่งนี้ ต้องว่ายน้ำเข้าไปชม และทุกคนก็มาถึง Pink Beach เม็ดทรายและเปลือกหอย สีขาวบ้าง แดงบ้าง คลุกเคล้าเข้ากัน จนชายหาดกลายเป็นสีชมพูหวานแหวว

komodo-54

ปะการังบริเวณนี้สวยมากๆ ดูสิ สวยจริงๆ

komodo-55

โอ๊ยย!!! สวยมากกกกก

komodo-56

นี่มันสวนปะการังชัดๆ

komodo-57

ไปเถอะ!! กลับขึ้นเรือไปสถานีต่อไปกันดีกว่า

**ใครว่ายน้ำไม่แข็ง หรือไม่มั่นใจเวลาไปดำน้ำที่ไหนต้องสวมชูชีพนะ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน
เพราะความประมาทมักไม่ค่อยให้โอกาสเราแก้ตัว**

Manta Point เราคาดหวังกับจุดนี้มาก “ทริปนี้ฉันจะต้องได้ว่ายน้ำเล่นกับ Manta ฉันจะต้องเจอ Manta” และแล้วความหวังก็เกิดขึ้นจริงๆ Manta มาให้เจอหลายตัวเลย

komodo-57

komodo-58

ถึงเวลา ..เ ค ลี ย ร์ หู.. แล้วก็มุด มุด มุด
ว่ายน้ำเล่นกับ Manta กัน โอ๊ยยยย..ฟิน

komodo-58

komodo-59

นายเงือกก็มา

komodo-60

นางเงือกก็มี

komodo-61

จุดนี้ค่อนข้างลึกทีเดียว ถ้าไม่มั่นใจอย่าดำลงไปแบบนั้นนะ มันอันตราย ทุกอย่างมันต้องค่อยๆ ฝึก เราดำน้ำลึกกันได้ เลยกล้าดำลงไปแบบนั้น

ทีแรกก็กะว่าจะมา scuba กันนั้นแหละ มากัน 4 คน แต่ดำน้ำได้แค่ 2 คน แล้วอีกสองจะทำอะไรกันล่ะ ก็เลยตัดสินใจไม่ดำ ไม่ไหนก็ไปพร้อมๆ กันนี่แหละ มาด้วยกันแล้วนิ

Mission Complete ล่ะ ไปเถอะ ขึ้นเรือกัน

Kanawa Island คือ จุดสุดท้ายของทริปชีวิตบนเรือนี้

เกาะนี้มีที่พักด้วย น้ำใส หาดทรายขาวละเอียด

เราใช้เวลาที่นี่กันค่อนข้างนาน เจออะไรบ้างหนะหรอ ดูเอาเลย

เริ่มจากบ้านนีโม่ล่ะกัน

ตามมาด้วยดงปะการัง

ปะการังแข็งสีชมพู

โลกสีครามสวยงามจริงๆ

สาหร่ายทะเลลลล

นีโม่มาอีกแล้ววว

ดาวจ๋าาา..ทำไมไม่ไปอยู่บนฟ้าล่ะจ๊ะ
ทะเลที่นี่..ล ะ ล า น ด า ว เพราะนี่คือ ทุ่ ง ป ล า ด า ว

ดาวหมอน

หอยเม่น

และเจ้าเต่าตัวน้อย

โอ๊ยยยย!! นี่เขียนกระทู้ไป ก็ใส่ mask ไปด้วย

อยากดำน้ำอีกจัง คิดถึงโลกใต้ทะเล มันฟิน มันอิน มันสงบ และสวยงาม

“เราชอบดำน้ำ เพราะเวลาอยู่ใต้น้ำ เรารู้สึกได้ถึงความสงบ และความอิสระ มีเสียงเดียวที่ได้ยิน คือเสียงลมหายใจของตัวเอง โลกใต้น้ำพริ้วไหว สวยงาม มีปะการังกับฝูงปลา คอยเต้นระบำไปพร้อมกัน ตามจังหวะเพลง”

ห ยุ ด เ พ้ อ เ จ้ อ.. ไปเก็บของเตรียมขึ้นฝั่งได้ล่ะ เรือจะถึงท่าอยู่แล้ว

เมือง Labuan Bajo ที่มองจากทะเลเข้ามา

วันนี้เป็นเกิดกีกี้ เค้กที่นี่ไม่รู้จะหาซื้อจากตรงไหน มาไปทางไหนก็เจอแต่อาหารทะเล
งั้น..เป่าซีฟู้ดส์ ไปแทนแล้วกันเน๊าะ

Happy Birth Day ทู้ววววยูวววว


น้ำตก ทุ่งนา ป่า เขา

Halo Halo.. คือเสียงทักทายจากพลขับของพวกเราในวันนี้ เมื่อวานก่อนไปกินข้าวเย็น เราก็เดินไปจองโปรแกรม One Day Trip ไว้ สำหรับวันนี้ โดยเลือกใช้บริการทัวร์เจ้าเดิม เจ้าที่เราเลือกให้พาไป KOMODO นั่นแหละ คิดเป็นเงินไทยก็ตกคนละประมาณ 600 บาท ช้าอยู่ใย ขึ้นรถไปพร้อมกันเลยสิ

Cunca Wulang Waterfall คือสถานที่แรกของวันนี้

สู้ สู้ สู้!!! คือเสียงของน้ำตกที่ไหลลงมากระทบด้านล่าง ถ้าหากได้ยินเสียงนี้เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าเราใกล้ถึงจุดหมายแล้ว ธรรมชาติส่งสัญญาณ มาบอกเราว่า “สู้ ๆ นะ” อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว

อื้ม!!! ก็โอเค ความคิดแรกที่คิดออกมา เมื่อมาถึงที่นี่ แต่ระหว่างทางรู้มั๊ย?? ว่าต้องอะไรผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะเดินมาถึงเนี่ย ทางที่นี่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และปูด้วยหินก้อนเล็กก้อนน้อย

เหมียวกับชุดเดินป่าของหล่อน

ต้องเดินผ่านทางที่กำลังสร้าง ซึ่งตอนนี้เป็นดินเละๆ

เดินเข้าป่า

ข้ามน้ำตกน้อยๆ

ถึงน้ำตกแรกแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดหมาย

และแล้วก็มาถึง

โอ๊ยยย!! ที่นี่คิดแล้วก็เหนื่อย เดินจนเหงื่อไหลออกมาจากทวารทั้ง 7 กว่าจะเดินถึง (นี่ก็เวอร์ไป) ที่นี่เดินยากขนาดไหนหนะหรอ??? เอ้างี้แล้วกัน 7 Cunca Wulang ยังไม่เท่า 1 ภูกระดึง

วันนี้..ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาไม่ถึง 10 คน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นแหละ ตู้มมมม..ชาวต่างชาติ เค้ากระโดดน้ำกันมันเลยจ้า พกชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยนกันด้วย

เห็นอย่างงี้กีกี้มีหรือจะน้อยหน้า..

หันไปหาอีกที ก็เหลือแค่พุงใหญ่ๆ ที่สั่นไหวได้ตามจังหวะการเดิน กับบ๊อกเซอร์ตัวน้อยๆ ส่วนในมือก็ถือโกโปรคู่ใจ ฮีเดินไปอย่างมุ่งมั่น แล้วก็ตู้มมมมมมมมมมม.. โกโปรกลายเป็นโกโก้ครั้น จมหายไปในทุ่งข้าวสาลี ส่วนตัวกีกี้ปลอดภัยดีไม่เป็นไร และนี่คือภาพสุดท้ายของกีกี้และโกโปรคู่ใจ..

ลาก่อนนะ ลาก่อน ตลอดกาล

ไปเถอะเราไปจากที่นี่กันเถอะ…

“เฮ้ย!! กี้อย่าเศร้าดิเฮ้ย” ทุกคนได้แต่ปลอมใจ

“Hey!! u stop stop”

กีกี้บอกคนขับทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นรถก๋วยเตี๋ยวข้างทาง นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายกว่าละ ยังไม่ได้กินอะไรกันเลยค๊า คุณผู้ชม นี่แหละกินร้านนี้แหละ Local ดี ทุกคนต่างคิดเช่นนั้น

มาบ้านเค้าเมืองเค้าก็ต้องลองกินอาหารท้องถิ่นบ้านเค้าบ้าง มีแต่ลูกชิ้นเนื้อนะ ถ้าใครไม่กินเนื้อบอกให้เค้าใส่ไข่อย่างเดียวแล้วกัน

เมื่อท้องอิ่ม กำลังขาก็กลับมา..พร้อมแล้วพวกเราพร้อมที่จะเดินต่อแล้ว

Spider Web Ricefield นาขั้นบันไดรูปใยแมงมุม คือจุดหมายหลักของวันนี้

มันมีที่เดียวในโลกกกกก

จะมองให้เป็นใยแมงมุมแบบนี้ มันก็ต้องมองแบบ Top View

ห่ะ!! Top View เอิ่มมมม..เดินขึ้นเขาสิค่ะจะรออะไร เพลียยยยยยย ไปค่ะพี่สุชาติ เรามาเดินขึ้นเขากันเถอะค่ะ

มีเด็กๆ มาช่วยนำทาง

เดินค่ะเดิน

ชมวิวสักครู่ สวยดีเหมือนกันนะ

ถึงแล้วๆ มีดาราหน้ากล้องด้วย
กีกี้ไงจะใครล่ะ

เดินขึ้นเขาเรื่อยๆ แปปเดียวก็ถึง ขอถ่ายภาพคู่กับใยแมงมุมหน่อย

ไปเดินลงเขากันเถอะ แต่ก่อนลงขอภาพหมู่สักภาพ
ฟินแค่ไหนดูหน้าเราสิ ………

ถ้าเทียบนาขั้นบันไดใยแมงมุม กับหน้าขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง แนะนำให้ซื้อตั๋วไปบ้านป่าบงเปียงเลยจ้า ฟินกว่าสิบเท่า ไปดูนาข้างล่างกันบ้าง ไปเดินเล่นบนแปลงนากัน

วันนี้เหนื่อยแล้ว กลับเข้าเมืองกันดีกว่า คืนนี้ยังไม่มีที่พักเลย ต้องไปเดินหาที่พักกันอีก สุดท้ายเราก็ได้ที่พักบนเขา บรรยากาศดี ราคาย่อมเยาวน์

หลังจากที่กินแต่อาหารทะเลกันมาทุกวัน คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ต้องอยู่เมืองนี้ เรามาเลี้ยงอำลากันหน่อย ปาร์ตี้ข้าวแกงสิค่ะ จัดไปเก๋ๆ พี่เจ้าของเคยไปทำงานที่เมืองไทย เลยพูดไทยได้นิดนึง แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกันอยู่ดี ฮาาาาาาาา

เที่ยวแต่ละที่นี่ไม่มีหรอกคำว่าสบาย แต่มันสนุกมากเลยง่ะ


เปลี่ยนเมือง

ณ สนามบินลาบวนบาโจ

“นี่ๆ ดูเสื้อตัวนี้สิ ตัวนี้สวยกว่า” อยู่ๆ ก็ได้ยินภาษาที่คุ้นเคย จากเสียงที่ไม่คุ้นหู
“พี่ค่ะๆ พี่มาเที่ยวกันหรอคะ มากี่วันแล้ว มาจากไหนกันคะ” เรารัวคำถามใส่พี่เค้า

ก็มันตื่นเต้นนี่น่า อยู่เมืองนี้มายังไม่เจอคนไทยมาเที่ยวเลย ถ้าไม่นับคณะพี่คนไทยที่มาส่งเรือ กับลุงชาวอินโดที่พูดไทยได้

“พี่มาจากสุไหง-โกลก นั่งเรือมา 4 วัน จาก Lombok” พี่เค้าตอบกลับมา

หูยยยย!! เจ๋งมาก นั่งเรือกันมาจาก Lombok นี่สินะนักเดินทางตัวจริง มีแต่สาวๆ ซะด้วย โตขึ้นไปฉันจะเป็นนักสะสมประสบการณ์แบบพี่เค้าบ้าง ขอเก็บภาพไว้เป็ที่ระลึกหน่อยนะคะ

“สุไหง-โกลก ยินดีต้อนรับ มาเมื่อไหร่โทรมาหาพี่เลยนะ”

..มิ ต ร ภ า พ.. เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเดินทางมีเสน่ห์

แล้วก็ร่ำลากัน พวกพี่เค้าต้องกลับบาหลี ส่วน Ende คือสถานีต่อไปของพวกเรา

Ende

สนามบินเอนเด้ กะทัดรัดน่ารักเชียว

เราติดต่อรถไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะเมืองที่เราจะพักในคืนนี้ต้องต่อรถไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง และ Moni คือจุดหมายของวันนี้ ระหว่างทางเค้าซ่อมทางหรืออะไรสักอย่าง จอดอยู่ตรงนี้นานเชียว

Moni  ในความคิดเรา เป็นหมู่บ้านเล็กๆ น่ารัก ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติคอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ เปรียบได้ว่าเป็น Base Camp ของ Kelimutu Guest House ต่างๆ จึงมีอยู่มากพอควร

“อากาศดี” คือความรู้สึกแรกเมื่อเปิดประตูลงจากรถ คืนนี้เราพักที่นี่กัน Bintang Lodge ราคาก็ตกคนละเกือบพัก

เฮ้ย!! แกร แต่มันโอเค มี welcome drink ให้ด้วย

“หิวจังออกไปเดินเล่นหาอะไรกินกันเถอะ” ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน

เอิ่มมมม!! เดินวนหมู่บ้านจะครบรอบอยู่แล้ว ยังไม่เจอร้านข้าวเลยจ้า นอกจากร้านอาหารที่บ้านพักเราแล้ว ก็มีแค่ร้านก๋วยเตี๋ยวนี่แหละ กินเล่นๆ กันไปคนละชาม แล้วกลับไปจัดหนักร้านข้าวที่ที่พักกันต่อ (กินที่นี่แต่ทีแรกก็จบ)

ก่อนพระอาทิตย์จะลับฟ้า พวกก็ออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านกันอย่างจริงจัง สำหรับวันนี้ก็เน้นที่การพักผ่อนแล้วกัน เพราะก่อนหน้านั้นสมบุกสมบันกันมาเยอะจริงๆ

“กี้ๆ เมืองนี้เป็นไงบ้าง”
“หนาว”

ร้านนี้ขายน้ำอัดลมถุงละ 3 บาท แค่ฉีกซอง ผสมน้ำ ก็ซ่าส์แล้ว มีหลายรสเลยล่ะ

7-11 แบบบ้านๆ หรือร้านขายของชำนั่นเอง

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อยู่ข้างที่พักเราเลย

เดินเล่นกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงรถหวอ เลยเดินไปดูกัน ได้ความว่า..บ้านนี้มีผู้เสียชีวิต

เด็กน้อย Moni

กลับที่พัก พักผ่อนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามากกก

Kelimutu อยู่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว พรุ่งนี้พบกันนะ


สุดท้ายที่ปลายทาง

“หนาวววว หนาวจัง” ทุกคนรู้สึกแบบนั้น

สำหรับวันนี้ เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวกไหมพรหม จัดเต็มกันมาเลยค่ะ มาเป็นวีดีโอเลยจ้า กับที่นี่ Kelimutu

..ตีสี่ คือเวลานัด รถเหมาที่เราติดต่อไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็มาจอดคอยอยู่แล้ว ไปกันเถอะ รีบไปพิชิต Kelimutu (เกอลิมูตู) กัน ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงที่หมาย ระหว่างทางก็แวะเสียค่าธรรมเนียมกันตามระเบียบอุทยาน คนละ 150,000 รูเปีย ประมาณ 450 บาทไทย

ถึงแล้ว แต่ยังไม่ถึง เพราะเราต้องเดินขึ้นเขาไปกันอีก ส่วนรถก็จอดรอเราบริเวณทางขึ้นนั่นแหละ หนาวก็หนาว มืดก็มืด อาศัยแสงไฟจากมือถือช่วยส่องทาง

ตอนนี้นักเดินทางหลากหลายเชื้อชาติก็เริ่มเดินทางมากันแล้ว

โอ๊ย!! กว่าจะเดินขึ้นไปถึง ต้องปีนป่าย ลุยน้ำ บุกป่าฝ่าดง $%$*((&&%#
เอิ่มมม!! ไม่ใช่ล่ะ ที่นี่เดินง่ายมากๆ เลยค่ะ ทางเป็นบันไดอย่างดี เป็นการเดิน Hiking ยามเช้าที่สบายมาก

ระหว่างเดินฟ้าก็ไม่สว่างสักที แหงนมองดูฟ้า อู้หู!! นี่มันทะเลดาวนี่หว่า

แม้จะมองไม่เห็นทางช้างเผือก แต่มันก็เป็นยามเช้าที่ฟินมากๆ ลองนึกภาพตามสิค่ะ ทะเลหมอก ทะเลดาว ฟ้าใสๆ พระจันทร์ก็อยู่รอทักทายกับพระอาทิตย์ ไอหนาวลอยมากระทบใบหน้า ลมพัดอ่อน พอให้ต้นไม้พริ้วไหวไปตามสายลมอย่างอ่อนโยน ระหว่างดวงตะวันขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ ก็นั่งจิบกาแฟอุ่นๆ เพลินๆ กันไป

ชาวบ้านแบกกาแฟ โอวัลตินขึ้นมาขาย

นั่งรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างใจจดใจจ่อ

และแล้วดวงตะวันก็มา ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่ อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน แสงของพระอาทิตย์ส่องกระทบทะเลสาบสองสีให้เด่นชัดขึ้นมา

(ทะเลสาบสีเทอควอยซ์ ชาวบ้านเชื่อว่าเมื่อตายไปวิญญาณของคนหนุ่มสาวจะมาสถิตย์อยู่ที่นี่
ทะเลสาบสีฟ้า ซึ่งเดิมทีเคยเป็นสีน้ำตาล ชาวบ้านเชื่อว่าเมื่อตายไปวิญญาณของคนแก่จะมาสถิตย์อยู่ที่นี่)
KELIMUTU ในมุมสูง เมื่อก่อนมีบ่อนึงเป็นสีน้ำตาล

แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสีนี้ไปแล้ว

**ภาพประกอบจาก internet**

และนี่แหละคือภาพที่พวกเรารอคอย สวยงามจริงๆ

ส่วนทะเลสาบสีดำ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่รวมของความชั่วร้าย จะอยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งไม่ห่างกัน และวันนี้กลายเป็นทะเลมอกไปซะงั้น คือหมอกหนามากๆ

มาดูบรรยากาศของผู้รอบๆ กันบ้างดีกว่า เมืองนี้ไม่เจอคนไทยเลยค่ะ

กีกี้ดาราคนเดิม มีแต่คนรุมถ่ายภาพ

ภาพหมู่บ้าง คณะคนไทยบน Kelimutu

แถมอีกภาพ อ่ะ

ไปนั่งดูหมอกปากปล่องทะเลสาบสีดำกันดีกว่า

เดินลงไปสำรวจตรงอื่นกันบ้าง เพราะขาขึ้นมามันมืด มองไม่เห็นอะไรเลย

นี่ทางเดินเป็นแบบนี้ เดินง่ายชะมัด

และก็เดินไปสำรวจไปเรื่อยๆ ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ

กีกี้ ไม่ยอมน้อยหน้า

เหมียวขอบ้างง

ห้าาา..ทีนี้ตราเราแล้ว

นี่ก็สายแล้วเราเดินกลับกันดีกว่า

ระหว่างทาง

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ถึงประมาณ 10 โมงเช้า แล้วก็เดินทางกลับที่พักกัน กินข้าวเช้า เก็บของ แล้วเดินทางกลับไปยังเมือง Ende ระหว่างทางกลับก็เจอตลาดขายผักผลไม้

ทริปนี้ Mission Complete แล้วจ้า พิชิตเกอลิมูตูได้แล้ว เย้ !!

Ende เป็นเมืองชายทะเล แต่ไม่ใช่ทะเลแบบบ้านเรานะ เพราะทะเลที่นี่เป็นสีดำ ดำจริงๆ ดำสนิทเลย

หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว ก็ออกไปเดินตลาดกัน วิธีการเดินทางก็เก๋ๆ จากหน้าที่พักเราก็นั่งรถโดยสารท้องถิ่นนี่แหละจ้า ตกคนละประมาณ 15 บาท

ถึงที่หมายก็ไปเดินเล่นที่ตลาด แล้วไปชายหาดหาของกินกันดีกว่า

ตลาดเมือง Ende

โอ้ว!! แม่เจ้าโว้ย ในเรื่องของความสกปรกบางแสนยังต้องยอมสยบให้กับที่นี่

ไม่เคยเห็นทะเลที่ไหนสกปรกขนาดนี้เลย ถ้าไม่มีขยะที่นี่จะเป็นชายหาดที่สวยมาก ภาพนี้ขอเรียกว่า..มุมเลี่ยงขยะ..แล้วกัน

สวยเลยใช่มั๊ยเล่า ทะเล ชายหาดสีดำ ผสมเข้ากันกับแสงอาทิตย์ในยามอัสดง

พระอาทิตย์ตกแลล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ จะได้รีบไปพักผ่อนกัน พรุ่งนี้ต้องบินแต่เช้า


กลับบ้าน

และแล้วก็ถึงเวลากลับสู่กอดของเมืองไทย Guest Houes มีบริการพาไปส่งที่สนามบินฟรีด้วย ถึงแม้มันจะไม่ห่างจากสนามบินมาก แต่มันก็ฟรี คราวนี้เราบินยาวจาก Ende ไปลงที่บาหลีเลย ลาก่อนนะ เกาะฟอเรส มีโอกาสจะกลับมาใหม่

สวัสดีบาหลี

เราใช้เวลาเดินทางจาก Ende จนถึง Bali ประมาณชั่วโมงครึ่ง มีเวลารอต่อเครื่องไปกัลลาลัมเปอร์อีก 5 ชั่วโมง ..ไปไหนกันดีล่ะ.. ดูจากระยะทางและเวลาที่มีจำกัด งั้นไปเที่ยวที่นี่ก็แล้วกัน Uluwatu (อูลูวาตู) จากสนามบิน เรานั่ง Taxi กดมิเตอร์กันแแล้วบอกให้เขารอรับกลับด้วย ระหว่างรอมิเตอร์ก็วิ่งไป แต่สรุปสุดท้ายถูกกว่าราคาเหมาที่เดินหามาจ้าาา โชคดีไปลุ้นแทบตาย

อู รู ว า ตู

วัดนี้เป็นวัดที่ชาวบาหลีให้ความเคารพบูชา ตั้งอยู่สุดปลายหินริมหน้าผา นักท่องเที่ยวทุกคนต้องแต่งกายมิดชิด ใครโป้เปลือยมาก็เชิญไม่นุ่งโสร่งก่อนค่ะ วัดนี้ลิงดุ ระวังลิงกันด้วยเน้อออ

และแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน

ไม่มีโลกใบนี้จะมีสิ่งสวยงามมากมายขนาดไหน
แต่ที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจที่สุดก็คือ บ้ า น

บทสรุปประมาณนี้

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณรีวิวของคุณ Umkesa ที่เคยรีวิวไว้ใน trekkingthai.com เป็นรีวิวเดียวที่เป็นภาษาไทย นอกนั้น Tripadvisor และ Google ล้วนๆ จ้า


ก่อนไปต้องเตรียมตัวยังไง??

  • อินโดนีเซียไม่ต้องขอวีซ่า มีแค่ Passport ก็เข้าประเทศได้เลย
  • ใช้เงินรูเปีย (IDR) อัตราแลกเปลี่ยน (ก.ค. 59) โดยประมาณ 1,000 IDR : 2.7 บาท แต่เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณตัดศูนย์ 3 ตัวท้ายทิ้ง แล้วคูณ 3 เลยจ้า เช่น 150,000 IDR = 450 บาท
  • แลกเงินจากไทยไปเลยนะ แลกตาม super rich หนะ เรทดีจะตาย
  • พนักงานขนกระเป๋าในสนามบินบาหลีนี่ต้องเสียเงินให้เค้าด้วยนะ เค้าไม่ได้มาช่วยเราฟรีๆ
  • บริเวณด่านศุลกากรตอนตรวจเชคสัมภาระ อย่าไปเผลอถ่ายรูป Check in เชียว จะโดนปรับเงินเอา
  • ตม.บาหลีคนยอะมากนะ ยังไงก็เผื่อเวลาไว้ด้วย เผื่อฉุกเฉิน
  • เป็นทริปที่ต้องเตรียมพร้อมทุกสภาพอากาศ ทั้งร้อน ฝน หนาว ดังนั้นต้องเตรียมเสื้อผ้าให้ครบทั้ง 3 ฤดู รองเท้าต้องพร้อมลุยทุกสถานการณ์เด้อจ้า
  • เชคสภาพอากาศก่อนไปด้วยล่ะ ตามลิงค์นี้เลย https://www.accuweather.com/en/id/indonesia-weather
  • ชุดว่ายน้ำเตรียมไปให้พร้อม ส่วนอุปกรณ์ดำน้ำ ไม่ว่าจะเป็น Scuba หรือ Snorkel ที่โน่นมีให้เช่าค่ะ แต่ถ้าไม่มีเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นกังวล
  • โหลด maps.me แผนที่ offline ช่วยเราได้เยอะ เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณก็ใช้เปิดดูได้
  • Check เที่ยวบินอยู่เรื่อยๆ เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงได้วางแผนถูก
  • ตุนเสบียงที่คุ้นเคยจากเมืองไทยไปบ้าง ในกรณีที่อาหารที่นู่นไม่ถูกปากการแต่งกายสำหรับสาวๆ ควรแต่งกายให้มิดชิดรัดกุม เนื่องจากบ้านเค้าเมืองเค้าส่วนใหญ่จะนับถือศาสนา อิสลาม แต่เวลาทำกิจกรรมทางน้ำก็ละเว้นได้บ้าง ยิ้มเยอะๆ แล้วจะได้รับมิตรภาพดีๆ กลับมา

Wifi

  • ที่สนามบินบาหลีมี wifi ฟรีให้ใช้ สนามบินอื่นๆ ในทริปนี้ไม่มีเลยจ้า
  • ตามโรงแรม เกสเฮ้าส์ ร้านอาหารพอมีให้เล่นบ้าง
  • Net sim มีขายแต่พวกเราไม่ได้ซื้อกัน เลยไม่รู้รายละเอียด

ศาสนา

  • Bali : ฮินดู
  • Labuan Bajo : อิสลาม
  • Ende – Moni : คริสต์

การเดินทางภายในประเทศ

ทริปนี้บินโหดมากจ้าระหว่างเมืองภายในประเทศนี่บินอย่างเดียวเลย

  • Bali > Labuan Bajo สายการบิน Kalstar Aviation  (50 นาที)
  • Labuan Bajo > Ende สายการบิน Garuda  (50 นาที)
  • Ende > Bali สายการบิน Kalstar Aviation  (1.30 ชั่วโมง)

ส่วนจากสนามบินไปยังที่พัก หรือไปยังสถานที่ต่างๆ พวกเราใช้บริการ Taxi ค่ะ ไปหาเอาแถวสนามบินเลย ศึกษาเรทราคาไปให้ดี ว่าจากนี่ไปนี่ไม่ควรเกินกี่บาท มีที่เดียวที่จองไว้ล่วงหน้าคือจากสนามบิน Ende ไปเมือง Moni

ที่พัก

ส่วนใหญ่เราพัก Guesthouse พวกเราเลือกที่ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป เรื่องที่พักนี่แล้วแต่คนละ เลืกเอาตามที่สบายใจ

ที่ของพวกเราตามนี้

Bali 

Berlin Beach Inn Kuta  หลับสบายดี มี Wifi

Labuan Bajo 

  • Orange Hotel  หลับสบายดี มีอาหารเช้า มี wifi ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอนเหม็นหืน ห้องน้ำไม่ค่อยสมประกอบ
  • Hotel Mutiara นอนรวมกัน 4 คน (ที่นี่เดินหาเอา) ถูกมาก มีอาหารเช้า หลับสบาย Wifi ไม่มี เจ้าของใจดี แต่ไฟตก ส้วมตัน น้ำไหลบ้างไม่ไหลบ้าง
  • Gardena Hotel (เดินหาเอาเช่นเคย) ที่พักอยู่บนเขา หลับสบายมาก สะอาด ห้องน้ำดี Wifi ไม่มี แถมฟรีอาหารเช้า

Moni

Bintang Lodge ห้องพักที่นี่น่ารักมากกก สะอาด บรรยากาศดี ไม่มี Wifi ไม่มีแอร์ มี Welcome drink และอาหารเช้า (อากาศที่นี่ค่อนข้างหนาว)

Ende 

Dasi Guesthouse ห้องพักน่ารัก Wifi เลิศ มีมุมกาแฟและขนมปังบริการตลอดเวลา อยู่ใกล่สนามบิน สะอาด หลับสบาย

อาหารการกิน

  • ส่วนใหญ่จะเน้นไก่ กับอาหารทะเล เอาไปปิ้งๆ ย่างๆ
  • ถ้าร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นข้างทางจะเป็นเนื้อ ราคาตั้งแต่ 35 บาท จนถึง 300 กว่าบาท ต่อคน
  • สำหรับเราอาหารอินโดอร่อยไม่แพ้อาหารอินเดียเลยแฮะ อะไร อะไร ก็อร่อย

ค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ

ทริปนี้เราไปกัน 4 คน หมดไปคนละประมาณ 26,000.- บาท (รวมตั๋วเครื่องบิน)

สำหรับค่าใช้จ่ายนี่เราว่าเอาเป็นไกด์ได้นะ แต่จะเรียนแบบกันแป๊ะไม่ได้หรอก มันขึ้นอยู่กับว่าพอใจของแต่ละคนด้วย

เรื่องที่เราจ่ายเงินง่ายที่สุด และไม่ค่อยรู้สึกเสียดาย คือการจ่ายเงินในเรื่องเที่ยว
มีโอกาสก็เที่ยวๆ ไปเถอะ ชิวิตเราจะมีพรุ่งนี้รึเปล่าก็ไม่รู้

ขอบคุณที่อ่านจนถึงตอนนี้นะ

ฝ้ายเอง